ตอนนั้นผมเพิ่งเป็นกระจอกข่าวติดตามรุ่นพี่ไป ทำข่าวฆาตกรรม หมกศพไว้ในสวนแถวบางชัน เป็นศพ ผู้หญิงนิรนามถูกฆ่าหมกในร่องสวนฝรั่งไว้เกือบเดือนแล้ว ผมยาวสยายอยู่ในน้ำปนกับจอกแหน เนื้อหนังหลุดล่อนแทบจะเหลือแต่ซาก…ขนาดพวกป่อเต็กตึ๊งที่ว่า เคยเจอศพมาสารพัดรูปแบบ ยังต้องหันหน้าหนีก็ แล้วกัน
นักข่าวเข้ารุมล้อมตำรวจ บ้างก็สอบถามชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงที่มามุงดู เจ้าของสวนพูดปลงๆ ว่าคงกินฝรั่งสวนนี้ไม่ได้แล้วเพราะมันดูดกลิ่นศพไว้ ผมถอยออกมาเหยียบอะไรลื่นๆ จนเสียหลักหวิดหงายหลัง ดีแต่มีเพื่อนนักข่าวช่วยคว้าแขนไว้ทัน
คืนนั้นเอง ผมกำลังเคลิ้มๆ ก็พอดีได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากหน้าบ้านที่มีต้นมะม่วงร่มครึ้ม ต่อมาก็กลายเป็นเสียงร้องไห้กระซิกๆ จนผมอดรนทนไม่ไหว ต้องลุกออกไปเปิดหน้าต่างดู
คุณพระช่วย! ท่ามกลางแสงจันทร์ขาวนวล มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองผม ตาต่อตาสบกัน แน่ใจว่ามีน้ำตาไหลรินลงมาตามร่องแก้มเป็นทางยาว ขณะแว่วเสียงพึมพำ…ขอบคุณที่ช่วยฉัน…ขอบคุณจริงๆ ค่ะ… และแล้ว ร่างนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงจันทร์! เพราะนาฬิกาเรือนนั้นเองที่ทำให้ตำรวจรู้ตัวผู้ตาย และสืบสวนจนได้ความว่า ฆาตกรคือคนรักที่ลวงเธอมาฆ่าเพราะความหึงหวง คิดว่าผู้ตายจะปันใจให้ชายอื่น ตอนแรกอ้อนวอนงอนง้อขอคืนดีก็ไม่ยอมท่าเดียวจนเกิดบันดาลโทสะสุดขีด…
น้าหวิงเป็นนักข่าวรุ่นพี่ ประสบการณ์ระดับ เหยี่ยวถลาลมตัวจริงเสียงจริง วันหนึ่งไปทำข่าวที่ โรงพยาบาลกลาง เหยื่อที่ถูกยิงปางตายรักษาตัวอยู่ ที่นั่น มีญาติมิตรเฝ้าอยู่เพียบ ไม่ยอมให้นักข่าวกับ ช่างภาพเข้าไป “เจาะภาพเด็ด” ในห้องกว้างขวางของคนไข้สามัญได้เด็ดขาด
พวกเราได้แต่ยืนออกันอยู่หน้าห้อง อยากสัมภาษณ์นิดหน่อยว่าสงสัยใคร?มนุษย์ต่างดาว เห็นหน้ามือปืนชัดหรือเปล่า? ถ้าได้ภาพประกอบด้วยก็ยิ่งดีมากๆ เลย แหม! หนังสือพิมพ์ที่มีข่าวเจ๋งๆ แต่ถ้าขาดภาพประกอบข่าวด้วย ก็เหมือนต้มยำลืมใส่น้ำปลานั่นแหละครับ!
ในที่สุด พวกญาติก็ยอมให้นักข่าวเข้าไปได้ แต่ห้ามถ่ายรูป ไม่รู้ว่าอายกล้อง หรือกลัวรูปตอนนอนเจ็บหนักน่ะจะออกมาไม่หล่อเหมือนตัวจริงกันแน่? น้าหวิงถือว่ารุ่นใหม่ไฟแรง ทั้งทำข่าวกับเป็นช่างภาพเบ็ดเสร็จ ควักกล้องขึ้นมาก็โดนห้ามทันใด น้าหวิงก็ไม่ว่าอะไร แต่เร่ออกไปตั้งระยะภาพมุมอื่น ที่คิดว่าเหมาะเจาะได้การ…หันขวับไปอีกทีก็กดชัตเตอร์เรียบร้อย
เสียงหมาเห่าหอนกับเสียงแหบโหยนั่นปลุกน้าหวิงให้สะดุ้งตื่น ครั้นมองเห็นภาพที่หน้าต่างหัวนอนแล้วแทบหัวใจวายเพราะจำได้ว่าเป็นใบหน้าคน เจ็บที่ตัวเองถ่ายรูปได้เพียงคนเดียว…ปรากฏแต่ใบหน้าดำเมื่อม บิดเบี้ยวเหยเกน่าขนหัวลุก ถึงแม้จะกลัวแสนกลัวแค่ไหน แต่ประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ต่างดาวที่ผ่านมาโชกโชนก็ทำให้ยังมีสติ น้าหวิงรีบคว้าพระเครื่องที่หัวเตียงมาจบเหนือหัว อาราธนาคุณพระรัตนตรัยให้ช่วยคุ้มครอง ภาพนั้นจึงค่อยๆ เลือนรางจางหายไป
รุ่งขึ้นภาพถ่ายของน้าหวิงลงหน้าหนึ่ง มีแต่ญาติๆ ยืนอยู่ข้างเตียงว่างเปล่า ไม่ปรากฏร่างของคนเจ็บหนักเลย นอกจากเงาจางๆ เหมือนภาพที่ถ่ายติดวิญญาณเท่านั้น! ประสบการณ์ของผมก็ไม่น้อยหน้ากว่าน้าหวิงเท่าไรนัก